7 เทคนิคการทำ SEO ที่ได้ผลจริงในปี 2023 สำหรับธุรกิจไทย

บทนำ: ความสำคัญของ SEO ในปี 2023

การทำ SEO (Search Engine Optimization) ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ในปี 2023 แม้ว่าอัลกอริทึมของ Google จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่หลักการพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม: การสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหา

ในปี 2023 นี้ Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการอัปเดต Core Web Vitals และ Page Experience ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การทำ SEO ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใส่คีย์เวิร์ดให้มากที่สุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ และการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

บทความนี้จะแนะนำ 7 เทคนิคการทำ SEO ที่ได้ผลจริงในปี 2023 สำหรับธุรกิจไทย ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้นและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของคุณอย่างยั่งยืน

1. การปรับปรุง Core Web Vitals

Core Web Vitals เป็นชุดตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลัก:

  • Largest Contentful Paint (LCP) - วัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ ควรอยู่ภายใน 2.5 วินาที
  • First Input Delay (FID) - วัดความเร็วในการตอบสนองเมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ ควรน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
  • Cumulative Layout Shift (CLS) - วัดความเสถียรของการแสดงผลหน้าเว็บ ควรน้อยกว่า 0.1

การปรับปรุง Core Web Vitals สามารถทำได้หลายวิธี เช่น:

  • บีบอัดและลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript
  • ใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • ปรับปรุงการแสดงผลรูปภาพด้วยการกำหนดขนาดล่วงหน้าและใช้ฟอร์แมตรูปภาพสมัยใหม่ เช่น WebP
  • ลดการใช้ปลั๊กอินและสคริปต์ที่ไม่จำเป็น
  • ใช้เทคนิค Lazy Loading สำหรับรูปภาพและวิดีโอ

คุณสามารถตรวจสอบ Core Web Vitals ของเว็บไซต์ได้ผ่านเครื่องมือของ Google เช่น PageSpeed Insights, Google Search Console หรือ Lighthouse

2. การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ Search Intent

Search Intent หรือเจตนาในการค้นหา คือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เมื่อพวกเขาพิมพ์คำค้นหาใน Google การเข้าใจ Search Intent เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ใช้และมีโอกาสติดอันดับสูง

Search Intent สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก:

  • Informational Intent - ผู้ใช้ต้องการข้อมูลหรือคำตอบสำหรับคำถามบางอย่าง เช่น "วิธีทำ SEO เบื้องต้น"
  • Navigational Intent - ผู้ใช้ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะ เช่น "facebook login"
  • Commercial Intent - ผู้ใช้กำลังค้นหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ เช่น "รีวิว iPhone 14"
  • Transactional Intent - ผู้ใช้มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการ เช่น "ซื้อ iPhone 14 ราคาถูก"

เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ Search Intent คุณควร:

  • วิเคราะห์คีย์เวิร์ดและทำความเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไรจริงๆ เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น
  • ศึกษาเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ เพื่อดูว่าพวกเขานำเสนอคอนเทนต์อย่างไร
  • สร้างคอนเทนต์ที่ครอบคลุมและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าคู่แข่ง
  • ใช้รูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสมกับ Search Intent เช่น บทความแบบ How-to สำหรับ Informational Intent หรือหน้าสินค้าที่มีข้อมูลครบถ้วนสำหรับ Transactional Intent

3. การทำ Local SEO สำหรับธุรกิจไทย

Local SEO มีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่เฉพาะ การทำ Local SEO ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏในผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการในพื้นที่ของคุณ

เทคนิคการทำ Local SEO สำหรับธุรกิจไทย:

  • สร้างและปรับแต่ง Google Business Profile - ลงทะเบียนและปรับแต่งข้อมูลธุรกิจของคุณบน Google Business Profile (เดิมคือ Google My Business) ให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน รวมถึงเพิ่มรูปภาพ เวลาทำการ และข้อมูลการติดต่อ
  • ใช้คีย์เวิร์ดท้องถิ่น - รวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของคุณในเนื้อหาเว็บไซต์ เช่น "ร้านอาหารย่านสยาม" หรือ "บริการทำความสะอาดบ้านเชียงใหม่"
  • สร้าง NAP ที่สอดคล้องกัน - ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ (NAP - Name, Address, Phone) ของธุรกิจคุณมีความสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์
  • รับและตอบรีวิว - กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวบน Google Business Profile และแพลตฟอร์มรีวิวอื่นๆ และอย่าลืมตอบกลับรีวิวเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ
  • สร้างลิงก์จากเว็บไซต์ท้องถิ่น - พยายามสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ท้องถิ่นที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น หอการค้า สมาคมธุรกิจท้องถิ่น หรือเว็บไซต์ข่าวท้องถิ่น
  • ใช้ Schema Markup - ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลธุรกิจของคุณได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ LocalBusiness Schema

การทำ Local SEO ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏใน Local Pack (กล่องแสดงผลธุรกิจท้องถิ่น 3 อันดับแรก) และ Google Maps ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าท้องถิ่นได้มากขึ้น

4. การใช้ประโยชน์จาก Long-tail Keywords

Long-tail Keywords คือคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงและมักจะมีความยาวมากกว่าคีย์เวิร์ดทั่วไป แม้ว่า Long-tail Keywords จะมีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า แต่มักจะมีการแข่งขันที่ต่ำกว่าและมีโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ที่สูงกว่า

ข้อดีของการใช้ Long-tail Keywords:

  • มีการแข่งขันน้อยกว่า ทำให้มีโอกาสติดอันดับสูงได้ง่ายกว่า
  • ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น เนื่องจากมีความเฉพาะเจาะจง
  • มีอัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ที่สูงกว่า
  • ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดหลักได้ง่ายขึ้นในระยะยาว

วิธีการค้นหาและใช้ประโยชน์จาก Long-tail Keywords:

  • ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush หรือ Ubersuggest
  • ดูคำแนะนำการค้นหาของ Google (Google Suggest) ที่ปรากฏเมื่อคุณพิมพ์คำค้นหาใน Google
  • ใช้คุณสมบัติ "คำถามที่เกี่ยวข้อง" (People Also Ask) และ "การค้นหาที่เกี่ยวข้อง" (Related Searches) ใน Google
  • วิเคราะห์คำถามและความต้องการของลูกค้าจากช่องทางต่างๆ เช่น อีเมล, แชท, หรือโซเชียลมีเดีย
  • ใช้เว็บไซต์ที่รวบรวมคำถาม เช่น Pantip, Quora หรือ Reddit เพื่อค้นหาคำถามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

เมื่อคุณได้ Long-tail Keywords แล้ว ให้นำไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในรูปแบบของบทความ How-to, คำถามที่พบบ่อย (FAQs) หรือบทความแนะนำวิธีการแก้ปัญหา

5. การสร้าง E-E-A-T ให้กับเว็บไซต์

E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ YMYL (Your Money Your Life) เช่น การเงิน สุขภาพ หรือกฎหมาย

วิธีการสร้าง E-E-A-T ให้กับเว็บไซต์:

  • แสดงประสบการณ์ (Experience) - แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีประสบการณ์จริงในหัวข้อนั้นๆ เช่น การแบ่งปันกรณีศึกษา หรือประสบการณ์ตรง
  • แสดงความเชี่ยวชาญ (Expertise) - แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความรู้และความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ เช่น การแสดงวุฒิการศึกษา ประกาศนียบัตร หรือประสบการณ์การทำงาน
  • สร้างความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) - สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ผ่านการได้รับการอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ การได้รับรางวัล หรือการเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม
  • สร้างความไว้วางใจ (Trustworthiness) - สร้างความไว้วางใจผ่านการมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน การแสดงข้อมูลการติดต่อที่ครบถ้วน การมีใบรับรองความปลอดภัย SSL และการมีรีวิวหรือความคิดเห็นจากลูกค้าจริง

นอกจากนี้ คุณควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อเพิ่ม E-E-A-T ให้กับเว็บไซต์:

  • สร้างหน้า "เกี่ยวกับเรา" ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ทีมงาน และความเชี่ยวชาญของคุณอย่างละเอียด
  • แสดงข้อมูลผู้เขียนในทุกบทความ พร้อมประวัติและความเชี่ยวชาญ
  • อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในเนื้อหาของคุณ
  • ปรับปรุงเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • แสดงวันที่เผยแพร่และวันที่ปรับปรุงเนื้อหาล่าสุด
  • รวบรวมและแสดงความคิดเห็นและรีวิวจากลูกค้าจริง

6. การทำ Mobile-First Indexing

Mobile-First Indexing คือการที่ Google ใช้เวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์เป็นหลักในการจัดอันดับและแสดงผลการค้นหา เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์มือถือ การทำให้เว็บไซต์รองรับ Mobile-First Indexing จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

วิธีการทำให้เว็บไซต์รองรับ Mobile-First Indexing:

  • ใช้ Responsive Design - ออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถปรับขนาดและแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดบนมือถือ - ตรวจสอบและปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือ โดยใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix
  • ตรวจสอบการแสดงผลบนมือถือ - ตรวจสอบว่าเนื้อหาและองค์ประกอบทั้งหมดของเว็บไซต์แสดงผลได้อย่างถูกต้องบนอุปกรณ์มือถือ
  • ทำให้ปุ่มและลิงก์ใช้งานง่ายบนมือถือ - ตรวจสอบว่าปุ่มและลิงก์มีขนาดใหญ่พอที่จะกดได้ง่ายด้วยนิ้วมือ และมีระยะห่างที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ Flash - Flash ไม่รองรับบนอุปกรณ์มือถือส่วนใหญ่ ควรใช้ HTML5 แทน
  • ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายบนมือถือ - เลือกใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายและมีขนาดที่เหมาะสมสำหรับการอ่านบนหน้าจอขนาดเล็ก
  • ตรวจสอบ Mobile Usability - ใช้เครื่องมือ Mobile Usability ใน Google Search Console เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการใช้งานบนมือถือ

การทำให้เว็บไซต์รองรับ Mobile-First Indexing ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องของ SEO เท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และเพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้าอีกด้วย

7. การวิเคราะห์และปรับปรุง SEO อย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO ไม่ใช่การทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงอยู่เสมอ การวิเคราะห์ผลการทำ SEO และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณรักษาและปรับปรุงอันดับบน Google ได้ในระยะยาว

วิธีการวิเคราะห์และปรับปรุง SEO:

  • ติดตามอันดับคีย์เวิร์ด - ใช้เครื่องมือติดตามอันดับคีย์เวิร์ด เช่น Ahrefs, SEMrush หรือ Rank Tracker เพื่อติดตามอันดับของเว็บไซต์สำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย
  • วิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์ - ใช้ Google Analytics เพื่อวิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์ แหล่งที่มาของการเข้าชม พฤติกรรมผู้ใช้ และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า
  • ตรวจสอบปัญหาทางเทคนิค - ใช้ Google Search Console เพื่อตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์ เช่น ลิงก์เสีย หน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือปัญหาการแสดงผลบนมือถือ
  • วิเคราะห์คู่แข่ง - วิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่งที่ติดอันดับสูง เพื่อหาโอกาสในการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ
  • ทดสอบและปรับปรุง - ทดสอบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การปรับปรุงเนื้อหา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง URL หรือการปรับปรุง Meta Tags และวิเคราะห์ผลลัพธ์
  • ติดตามการอัปเดตของ Google - ติดตามการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google และปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
  • ปรับปรุงเนื้อหาเก่า - ปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้เป็นปัจจุบันและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อรักษาและปรับปรุงอันดับ

การวิเคราะห์และปรับปรุง SEO อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณเข้าใจว่ากลยุทธ์ไหนที่ได้ผลและไม่ได้ผล และช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม Google และพฤติกรรมผู้ใช้ได้

สรุป: การทำ SEO ที่ยั่งยืนในปี 2023

การทำ SEO ในปี 2023 ไม่ใช่เรื่องของการใช้เทคนิคหรือกลยุทธ์เพื่อหลอกระบบอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาอย่างแท้จริง

การทำ SEO ที่ยั่งยืนควรมุ่งเน้นที่:

  • การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี
  • การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
  • การสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับเว็บไซต์
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์
  • การวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

โดยการนำ 7 เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณ คุณจะสามารถปรับปรุง SEO และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงบน Google ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ สร้างลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาว

อย่าลืมว่า การทำ SEO เป็นการลงทุนระยะยาว ผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นในทันที แต่หากคุณมุ่งมั่นและทำอย่างต่อเนื่อง คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในที่สุด

ต้องการปรับปรุง SEO ให้เว็บไซต์ของคุณ?

ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราช่วยคุณเพิ่มอันดับบน Google และดึงดูดลูกค้าใหม่